อสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตมากที่สุดในปี 2561 โดยไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย คาดการณ์ว่า ตลาดจะเติบโตอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 5-7% ทั้งในแง่ของจำนวนยูนิตและมูลค่าของโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ที่ส่วนใหญ่ยังเห็นว่าตลาดมีโอกาสเติบโตจึงมีการวางแผนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง
ผู้ประกอบการเน้นสร้างจุดขายด้วย Facility
สินค้าและผลิตภัณฑ์ในปี 2561 น่าจะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ทั้งด้านการวางผังห้องชุด ขนาดของยูนิต แต่ผู้พัฒนาโครงการจะมองหาการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ (Facility) เพื่อสร้างความแตกต่างของโครงการและช่วยสนับสนุนการขาย โครงการส่วนใหญ่จะหันมาใช้ระบบที่จอดรถอัตโนมัติ (Automate parking) เพื่อเพิ่มปริมาณที่จอดรถภายในโครงการ ซึ่งสามารถเพิ่มเนื้อที่ได้ประมาณ 20-30% จากระบบที่จอดรถแบบเดิม รวมถึงการใช้ระบบ Home automation มากขึ้น
แนวราบขยายตัวต่ำ-คอนโดฯ โตตามแนวรถไฟฟ้า
การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปี 2561 จะยังเน้นไปตามแนวรถไฟฟ้าโดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย และสายสีเขียวที่กำลังก่อสร้างอยู่ โดยตลาดจะขยายตัวไปยังบริเวณพื้นที่ชานเมืองช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเดินทางเข้าเมืองสะดวก สามารถคำนวณระยะเวลาการเดินทางได้
สำหรับตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ซึ่งอยู่บริเวณชานเมืองจะมีอัตราการขยายตัวต่ำ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการจราจร เนื่องจากโครงการพัฒนาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ตั้งอยู่ไกลจากรถไฟฟ้า การตัดถนนใหม่เพื่อรองรับปริมาณรถและการจราจรที่เพิ่มขึ้นมีน้อยมาก ตลาดคอนโดมิเนียมจึงมีสถานะที่ได้เปรียบเนื่องจากอยู่ใกล้รถไฟฟ้าและยังใช้ที่ดินในการพัฒนาโครงการไม่มากอีกด้วย
ต่างชาติเข้ามาลงทุนคอนโดฯ มากขึ้น
ตลาดคอนโดมิเนียมเกรด B-C ผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังคงเป็นคนไทย ส่วนคอนโดมิเนียมในทำเลสุขุมวิท รถไฟฟ้าสายสีเขียว บริเวณแบริ่ง รถไฟฟ้าใต้ดิน บริเวณบางซื่อ และลาดพร้าว จะมีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น อาทิ จีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และไต้หวัน
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อแตกต่างกันออกไปตามแต่ละตลาด ดังนี้
1. ตลาดคอนโดมิเนียม ผู้ซื้อจะคำนึงถึงทำเลเป็นหลัก โดยพิจารณาจากการเดินทางเข้าสู่เมืองเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ตัวโครงการ ขนาดของยูนิต สิ่งอำนวยความสะดวก และราคาก็จะถูกนำมาพิจารณาเช่นกัน
2. ตลาดบ้านและทาวน์เฮ้าส์ ผู้ซื้อจะคำนึงถึงพื้นที่การใช้สอยเป็นหลัก ตามด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการและทำเลของโครงการ
นอกจากตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย แนวโน้มตลาดทรัพย์สินเพื่อการอุตสาหกรรมจะมีการเติบโตจากนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยเฉพาะโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี
ซึ่งถ้าเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนจะทำให้ตลาดอุตสาหกรรมเติบโตขึ้น ขณะเดียวกันก็จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติได้อีกด้วย ในส่วนของตลาดโลจิสติกส์และคลังสินค้าก็จะมีการเติบโตในเชิงของปริมาณ ด้านตลาดสำนักงานมีทิศทางเป็นบวกเนื่องจากปริมาณอุปทานที่เข้าตลาดยังมีอยู่น้อย ขณะที่เศรษฐกิจและภาคธุรกิจยังมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ความต้องการใช้สำนักงานจะเพิ่มมากขึ้น อัตราค่าเช่ายังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง